โดย ภควดี ทองชมภูนุช และ พัชรินทร์ ลาภานันท์
ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศำสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ในชุมชนมอญ โดยวิเคราะห์ภายใต้แนวคิดและข้อถกเถียงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวชาติพันธุ์ที่มองการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับมิติเศรษฐกิจและอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและศึกษาภาคสนามที่หมู่บ้านวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่าง พ.ศ. 2557-2558 ผลการศึกษาพบว่า ชาวมอญวังกะอพยพเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2491 สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์สู้รบระหว่างกองทัพทหารพม่ากับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวมอญพลัดถิ่นให้ความสำคัญกับการรักษาประเพณี สถาปัตยกรรมและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์มอญ ตั้งแต่ พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา ภาครัฐส่งเสริมหมู่บ้านวังกะให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางชาติพันธุ์ มีจุดเด่นคือ วัฒนธรรมมอญ "แบบดั้งเดิม" ซึ่งได้สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแก่ชาวมอญ ในบริบทนี้คนวังกะนำเสนออัตลักษณ์มอญผ่านการประกอบสร้างเพื่อตอบสนองความคาดหวังของนักท่องเที่ยวและการคงไว้ซึ่งประเพณีดั้งเดิม เพื่อรักษาความหมายและคุณค่าทางวัฒนธรรมได้กลายเป็น "จุดขาย" ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว จากประสบการณ์ของชาววังกะ การท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ได้สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจควบคู่การธำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์(เข้าไปดาวน์โหลดบทความฉบับเต็มได้ที่นี่)
วีรชนในแบบเรียนประวัติศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
ของจีนปัจจุบัน
โดย DanTingLi ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ และ เบญจวรรณ นาราสัจจ์
หลักสูตรลุ่มน้ำโขงศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทคัดย่อ
วีรชนเป็นองค์ประกอบหลักของกิจกรรมทางสังคมและประวัติศาสตร์ การศึกษาประวัติศาสตร์จำนวนมากจึงเป็นการศึกษาบทบาทและความสำคัญของวีรชนในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาว่ารัฐบาลจีนมีการนำเสนอเรื่องราววีรชนระบบฮ่องเต้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์จีนเป็นอย่างไร และรัฐได้มีการสอดแทรกอุดมการณ์ชาติผ่านวีรชนเหล่านี้อย่างไร โดยใช้วิธีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ด้วยการวิเคราะห์หนังสือแบบเรียนประวัติศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นของจีน ผลการศึกษาพบว่าแบบเรียนประวัติศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นได้กล่าวถึงวีรชนจีนเป็นจำนวน 47 คน โดยมีเพศชาย 46 คน เพศหญิงคนเดียวสามารถแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย (1) ฮ่องเต้ (2) นักวิทยาศาสตร์/ผู้สร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (3) ผู้นำการปฏิรูป/ ผู้นำปฏิวัติ/ผู้นำทางการเมือง/ผู้นำจลาจล (4) ทหาร/ข้าราชการ/ ผู้ปกป้องแผ่นดิน (5) ผู้เปิดเส้นทางติดต่อโลกภายนอก (6) นักปรัชญา/นักคิด และ (7) อื่นๆ เช่น จิตรกร เป็นต้น จากจำนวนวีรชนทั้งหมดในหนังสือแบบเรียนนี้ พบว่า แบบเรียนประวัติศาสตร์ มีการเขียนถึงฮ่องเต้ในประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณจำนวนมากที่สุด ส่วนแนวการเขียนวีรชนในแบบเรียนนั้น ผู้เขียนใช้กรณีจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งเป็นฮ่องเต้ที่ถูกอุทิศจำนวนหน้าเขียนมากที่สุด โดยมีการนำเสนอจิ๋นซีฮ่องเต้ทั้งในด้านดีและด้านที่เป็นความผิดพลาด เน้นแนวคิดทางการปกครองของจิ๋นซีฮ่องเต้ มีการสอดแทรกด้วยอุดมการณ์ความเป็นเอกภาพแห่งชาติ(เข้าไปดาวน์โหลดบทความฉบับเต็มได้ที่นี่)
The Use of Social Capital in Organizing the Frog Festival of Baying Village in the Context of Cultural Tourism Development
โดย Houdian Ya, Jaggapan Cadchumsang
ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศำสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ทุนทางสังคมในการจัดงานเทศกาลกบในหมู่บ้านปาอิงภายใต้กระแสการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ข้อมูลที่ใช้ในบทความนี้ได้มาจากการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งมีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ประกอบด้วยการทบทวนวรรณกรรมและการเก็บข้อมูลภาคสนามที่หมู่บ้านปาอิง อำเภอตุงหลาน เมืองเหอฉือ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน วิธีการที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ได้แก่ การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลักอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ รวมทั้งการสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ผลการวิจัยชี้ว่า ทุนทางสังคมที่ถูกนำมาใช้ในการจัดงานเทศกาลกบในหมู่บ้านปาอิงมี 3 รูปแบบ ได้แก่ เครือข่าย บรรทัดฐาน และความไว้วางใจ นั้นถูกนำมาใช้จัดงานเทศกาลกบซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยรัฐ ทุนทางสังคมในรูปแบบเครือข่ายซึ่งมีทั้งที่เป็นแบบการร้อยรัดกลุ่มเครือญาติ การประสานระหว่างคนในและนอกหมู่บ้าน และการเชื่อมโยงระหว่างชาวบ้านกับภาครัฐนั้นพบว่า เครือข่ายแบบการร้อยรัดมีความสำคัญมากที่สุดเพราะไม่เพียงเป็นการยึดโยงผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดในหมู่บ้านปาอิงเท่านั้น แต่ยังรวมเอาผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงที่มีสำนึกของ “ความเป็นจ้วง” ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดงานเทศกาลกบอย่างแข็งขัน นอกจากนี้ยังพบว่า ทุนทางสังคมอีก 2 ประเภทคือ บรรทัดฐานและความไว้วางใจก็มีบทบาทสำคัญในการจัดเทศกาลกบจนนำมาซึ่งความสำเร็จในการจัดงานและเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็ง
(เข้าไปดาวน์โหลดบทความฉบับเต็มได้ที่นี่)
The Historiography of the Defeat of the Haw in Thai and Lao Documents, 1868-1888
โดย Aunchun Meeso, Dararat Mattariganond, Marasri Sorthip
ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศำสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งศึกษางานเขียนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการปราบฮ่อในเอกสารไทยและลาวพ.ศ. 2411-2431 โดยใช้วิธีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ ศึกษาจากเอกสารประเภทใบบอกจดหมายเหตุ พงศาวดาร หนังสือ ฯลฯ ทั้งในไทยและลาวเป็นหลัก ผลการศึกษาพบว่า การที่ฮ่อเข้ามารุกรานดินแดนลาวที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของไทยได้ก่อให้เกิดงานเขียนของไทยและลาวขึ้น สำหรับงานเขียนเกี่ยวกับการปราบฮ่อในเอกสารไทยพบว่า ในช่วงปราบฮ่อ พ.ศ. 2411-2431 ส่วนใหญ่เป็นเอกสารราชการประเภทใบบอกราชการทัพฮ่อพระบรมราโชวาท คำให้การ ใช้เป็นหลักฐานชั้นต้น นอกจากนี้ยังมีงานเขียนประเภทบันทึกการเดินทางและประเภทนิราศ งานเหล่านี้ได้ส่งอิทธิพลต่องานเขียนในเวลาต่อมา และได้สะท้อนมุมมองของผู้ที่ไปปราบเพื่อปกป้องดินแดนของตน และเพื่อแสดงสิทธิอันชอบธรรมในดินแดนลาว สำหรับงานเขียนในเอกสารลาวช่วงเดียวกันนี้พบว่า เป็นงานเขียนประเภทพงศาวดารเมืองที่เกิดเหตุการณ์ฮ่อเข้ามารุกราน ถูกผลิตขึ้นเพื่อยื่นยันสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นเจ้าประเทศราชของไทย ขณะเดียวกันงานเขียนกลุ่มนี้ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ยากที่ได้รับจากการเข้ามารุกรานของฮ่อและความไม่สงบที่เกิดขึ้นภายในดินแดน งานทั้งสองกลุ่มนี้ได้ส่งอิทธิพลต่องานเขียนช่วงหลังเหตุการณ์ปราบฮ่อด้วยเช่นกัน
(เข้าไปดาวน์โหลดบทความฉบับเต็มได้ที่นี่)
โดย Houdian Ya, Jaggapan Cadchumsang
ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศำสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ทุนทางสังคมในการจัดงานเทศกาลกบในหมู่บ้านปาอิงภายใต้กระแสการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ข้อมูลที่ใช้ในบทความนี้ได้มาจากการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งมีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ประกอบด้วยการทบทวนวรรณกรรมและการเก็บข้อมูลภาคสนามที่หมู่บ้านปาอิง อำเภอตุงหลาน เมืองเหอฉือ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน วิธีการที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ได้แก่ การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลักอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ รวมทั้งการสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ผลการวิจัยชี้ว่า ทุนทางสังคมที่ถูกนำมาใช้ในการจัดงานเทศกาลกบในหมู่บ้านปาอิงมี 3 รูปแบบ ได้แก่ เครือข่าย บรรทัดฐาน และความไว้วางใจ นั้นถูกนำมาใช้จัดงานเทศกาลกบซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยรัฐ ทุนทางสังคมในรูปแบบเครือข่ายซึ่งมีทั้งที่เป็นแบบการร้อยรัดกลุ่มเครือญาติ การประสานระหว่างคนในและนอกหมู่บ้าน และการเชื่อมโยงระหว่างชาวบ้านกับภาครัฐนั้นพบว่า เครือข่ายแบบการร้อยรัดมีความสำคัญมากที่สุดเพราะไม่เพียงเป็นการยึดโยงผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดในหมู่บ้านปาอิงเท่านั้น แต่ยังรวมเอาผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงที่มีสำนึกของ “ความเป็นจ้วง” ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดงานเทศกาลกบอย่างแข็งขัน นอกจากนี้ยังพบว่า ทุนทางสังคมอีก 2 ประเภทคือ บรรทัดฐานและความไว้วางใจก็มีบทบาทสำคัญในการจัดเทศกาลกบจนนำมาซึ่งความสำเร็จในการจัดงานและเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็ง(เข้าไปดาวน์โหลดบทความฉบับเต็มได้ที่นี่)
The Historiography of the Defeat of the Haw in Thai and Lao Documents, 1868-1888
โดย Aunchun Meeso, Dararat Mattariganond, Marasri Sorthip
ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศำสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งศึกษางานเขียนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการปราบฮ่อในเอกสารไทยและลาวพ.ศ. 2411-2431 โดยใช้วิธีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ ศึกษาจากเอกสารประเภทใบบอกจดหมายเหตุ พงศาวดาร หนังสือ ฯลฯ ทั้งในไทยและลาวเป็นหลัก ผลการศึกษาพบว่า การที่ฮ่อเข้ามารุกรานดินแดนลาวที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของไทยได้ก่อให้เกิดงานเขียนของไทยและลาวขึ้น สำหรับงานเขียนเกี่ยวกับการปราบฮ่อในเอกสารไทยพบว่า ในช่วงปราบฮ่อ พ.ศ. 2411-2431 ส่วนใหญ่เป็นเอกสารราชการประเภทใบบอกราชการทัพฮ่อพระบรมราโชวาท คำให้การ ใช้เป็นหลักฐานชั้นต้น นอกจากนี้ยังมีงานเขียนประเภทบันทึกการเดินทางและประเภทนิราศ งานเหล่านี้ได้ส่งอิทธิพลต่องานเขียนในเวลาต่อมา และได้สะท้อนมุมมองของผู้ที่ไปปราบเพื่อปกป้องดินแดนของตน และเพื่อแสดงสิทธิอันชอบธรรมในดินแดนลาว สำหรับงานเขียนในเอกสารลาวช่วงเดียวกันนี้พบว่า เป็นงานเขียนประเภทพงศาวดารเมืองที่เกิดเหตุการณ์ฮ่อเข้ามารุกราน ถูกผลิตขึ้นเพื่อยื่นยันสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นเจ้าประเทศราชของไทย ขณะเดียวกันงานเขียนกลุ่มนี้ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ยากที่ได้รับจากการเข้ามารุกรานของฮ่อและความไม่สงบที่เกิดขึ้นภายในดินแดน งานทั้งสองกลุ่มนี้ได้ส่งอิทธิพลต่องานเขียนช่วงหลังเหตุการณ์ปราบฮ่อด้วยเช่นกัน(เข้าไปดาวน์โหลดบทความฉบับเต็มได้ที่นี่)




No comments:
Post a Comment